โรคภูมิแพ้ในเด็ก

เรื่อง โรคภูมิแพ้ในเด็ก “โรคที่น่ากลัวสำหรับคุณพ่อคุณแม่ในปัจจุบัน”
 
1.สาเหตุโรคภูมิแพ้ในเด็กเกิดจากอะไร 
: หลักๆ จะมี 4 อย่างที่เจอบ่อย ๆ นะคะ โรคที่หนึ่งคือการแพ้อาหาร โรคที่สองก็คือโรคผื่นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ โรคที่สามคือโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ และอันดับสุดท้ายคือโรคหอบหืด
สาเหตุโรคภูมิแพ้ในเด็กเกิดจากอะไรบ้างก็คือ ในเด็กบ้างคนมีภาวะแพ้อาหารก็อาจจะมีผื่นภูมิแพ้ตามตัว หรือในเด็กบางกลุ่มที่มีการแพ้ไร้ฝุ่น ขนสัตว์ ก็จะมีอาการเหมือนมีน้ำมูกเป็นประจำ และก็มีอาการหอบหืดตามมาได้
 
2. ภูมิแพ้เป็นพันธุกรรมหรือไม่ ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นภูมิแพ้มากน้อยแค่ไหน
: สำหรับเด็กที่เป็นภูมิแพ้ก็มีสาเหตุทางสิ่งแวดล้อมและทางพันธุ์กรรมนะคะ โดยที่เป็นทางด้านพันธุ์กรรม พ่อเป็นภูมิแพ้ลูกจะมีโอกาสเป็นภูมิแพ้ถึง 30% ถ้าคุณแม่เป็นภูมิแพ้ลูกมีโอกาสจะเป็นภูมิแพ้ได้ถึงประมาณ 50% แต่ถ้าคุณพ่อและคุณแม่ทั้งสองคนโอกาสค่อนข้างสูงประมาณ 70% - 75% ที่ลูกจะมีโอกาสเป็นภูมิแพ้ค่ะ
 
3.อาการของโรคภูมิแพ้ เป็นอย่างไรบ้าง 
: ก็อย่างที่ได้คุยกันไว้นะคะ อาการของโรคภูมิแพ้ที่เจอบ่อย ๆ จะมีอยู่ 4 โรค ก็คือ โรคแพ้อาหาร โรคผื่นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ และก็โรคหอบหืด
โรคแพ้อาหาร จะสามารถเจอตั้งแต่ในเด็กเล็กเลย อาการที่จะเจอคือเป็นผื่นหลังจากที่มีการรับประทานอาหาร เช่น มีผื่นรอบปาก หรือว่ามีผื่นลมพิษตามตัว ในบางเคสจะมีลักษณะผื่นเรื้อรัง เช่น เป็นผิวแห้งสากตามตัวก็จะสัมพันธ์กับโรคผื่นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ ซึ่งจะมีผื่นเป็น ๆ หาย ๆ ผิวค่อนข้างแห้งแดงลอก ตามตำแหน่งที่แก้ม ตามข้อพับต่าง ส่วนโรคภูมิแพ้ชนิดอื่น เช่น โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ เด็กก็จะมีอาการเหมือนเป็นหวัดเรื้อรัง มีน้ำมูกเป็น ๆ หาย ๆ มีไอตอนช่วงกลางคืน หรือว่ามีนอนกรนร่วมด้วย ซึ่งส่วนใหญ่อาการจำพวกนี้จะสัมพันธ์กันกับอากาศแล้วก็สิ่งแวดล้อม เช่นฝุ่น หรือว่าพวกขนสัตว์ ส่วนโรคสุดท้ายที่เจอบ่อยก็คือ โรคหืดหอบ (Asthma) พวกนี้ก็คือจะเป็นจากเด็กที่มีปัจจัยกระตุ้น เช่น อากาศเปลี่ยน ฝนตก มีฝุ่น หรือว่ามีสิ่งแวดล้อมที่เป็นสัตว์เลี้ยงที่มีขนที่เขาแพ้ เป็นตัวกระตุ้นให้มีอาการหลอดลมมีไว หายใจจะมีเสียงวี้ด ๆ และก็มีอาการหายใจเหนื่อยค่อยข้างฉับพลันค่ะ
 
3.1 จะมีโอกาสหายขาดหรือไม่
: ถ้าถามว่าจะหายขาดไหมก็ต้องขึ้นอยู่ที่สาเหตุ ถ้าในกรณีที่เป็นเด็กแพ้อาหาร และเจอด้วยเรื่องอาการที่เป็นผื่นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ อันดับแรกเราต้องหาสาเหตุก่อนว่า เขาแพ้อาหารอะไร ถ้าเราสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ได้อาการก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ พอภูมิต้านทานของเด็กดีขึ้น เขาก็จะดีขึ้นตามวัย เฉลี่ยแล้วจะหายที่ 3 ขวบ
 ส่วนในกรณีที่3 ที่4 คือเด็กที่เป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ และก็โรคหอบหืด ก็ต้องหาสาเหตุเช่นเดียวกันว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นทำให้มีอาการ ถ้าเราหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นได้ อาการก็จะดีขึ้นเช่นกัน
 
 
4. ความรุนแรงและอันตรายของโรคภูมิแพ้จะเกิดอะไรบ้าง
: โรคภูมิแพ้ ถ้าช่วงที่อาการโรคสงบ เด็กก็จะเหมือนเด็กปกติ เด็กภูมิแพ้ก็จะเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป ซึ่งถ้าไปเจอสิ่งที่แพ้ ถึงจะมีอาการ ความรุนแรงที่น่ากลัวของโรคในกรณีที่แพ้รุนแรงมากจะมีอาการเช่นปากบวม หลอดลมตีบ มีผื่นลมพิษตามตัว ในบ้างเคสจะมีอาการรุนแรงถึงขึ้นหมดสติและช็อกได้ ยกตัวอย่าง มีที่เด็กแพ้ไข่ เด็กแพ้แป้งสาลี ถ้าในกรณีเด็กที่แพ้อาหารรุนแรงแล้วเขาสัมผัสอาหารที่เขาแพ้ไปอาจจะมีอาการได้ในเวลาไม่กี่นาที ถึง 2 ชั่วโมง หลังจากที่เริ่มรับประทานอาหาร บ้างคนมีอาการปากบวมหายใจไม่ออก ซึ่งมีความรุนแรงถึงชีวิตเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าเราเกิดมีอาการเข้าข่ายว่าเป็นโรคภูมิแพ้ ต้องหาสาเหตุให้ได้ว่าแพ้อาหารอะไร ชนิดไหนหรือเปล่า หรือว่าแพ้สิ่งแวดล้อมอะไรไหม ถ้าเขาหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นภูมิแพ้ได้เราก็จะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติค่ะ
 
5.วิธีการตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคนี้ทำได้อย่างไร  
: วิธีการที่เราจะตรวจภูมิแพ้หลัก ๆในปัจจุบัน จะมีอยู่ 2 วิธี วิธีแรกก็คือการทำ Skin prick test ก็คือใช้สารก่อภูมิแพ้เป็นชนิดที่เข้มข้น แต่ละชนิดต่าง ๆหยดที่ผิวหนัง และใช้ปลายเข็มเล็ก ๆสะกิต เพื่อให้ร่างการเราทำปฏิกิริยากับสารก่อภูมิแพ้ที่ตรวจไว้ก่อนหน้านั้น ถ้าเกิดร่างกายเราทำปฏิกิริยากับสารก่อนภูมิแพ้ชนิดไหนก็เกิดอาการเป็นเหมือนนูนแดงขึ้นบริเวณที่ทำการทดสอบก็จะสามารถรู้ได้ว่าแพ้อะไรบ้าง วิธีนี้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างถูกกว่า และสามารถจะทราบผลได้ภายใน  15 นาที ถึงครึ่งชั่วโมง จากที่ทำการทดสอบ ส่วน วิธีที่สองคือการใช้ Blood test คือใช้เลือด เจาะเลือดในการตรวจดูว่าร่างกายเรามีปฏิกิริยาการแพ้ต่ออะไรบ้าง วิธีที่สองก็จะสามารถทราบผลเรื่องภูมิแพ้ได้เหมือนวิธีแรก แต่ว่าค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าเล็กน้อย แต่ข้อดีคือคนไข้ไม่จำเป็นต้องหยุดยาแก้แพ้มาก่อนค่ะ ถ้าเป็นวิธีแรกต้องหยุดยาแก้แพ้ก่อนทดสอบอย่างน้อย 7 วัน ก่อนทำการทดสอบค่ะ
 
6.ตอนเด็ก ๆ ก็ไม่แพ้อะไร ทำไมโตขึ้นมาถึงแพ้ได้
: อันนี้เป็นคำถามที่เจอได้บ่อยเหมือนกันค่ะ โดยเฉพาะคนไข้ที่แพ้อาหารกลุ่มพวกอาหารทะเลค่ะ คือยกตัวอย่างในการแพ้อาหารก่อนนะคะ คือในอาหารแต่ละอย่างก็จะมีช่วงอายุของการแพ้ ถ้าในกรณีที่เป็นแป้งสาลี นมวัว ไข่ ส่วนใหญ่จะเริ่มแพ้ตั้งแต่เด็กเล็ก แต่ว่าพวกอาหารทะเลอาจจะเริ่มแพ้มาในช่วงเด็กโต ก็ได้ ในช่วงอายุ 7 ขวบขึ้นไป ก็คือเป็นการตอบคำถามว่า ทำไมบางคนตอนเด็ก ๆ ก็กินกุ้งได้ กินปูได้ แต่เริ่มมีอาการตอนโต เพราะฉะนั้นคือในอาการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเคยสัมผัสอาหารและมีอาการที่สงสัยเข้าข่ายเกี่ยวกับการเป็นภูมิแพ้ เช่นกินแล้วปากบวม กินแล้วมีอาการแล้วหลอดลมตีบ หายใจไม่สะดวก เราควรต้องทำการทดสอบ เพื่อยืนยันว่าตกลงเราแพ้จริงหรือเปล่า
ถ้าเกิดในกรณีที่แพ้จริงควรหลีกเลี่ยง
 
7.ยาแก้แพ้ใช้ไปนาน ๆ ติดต่อกันเป็นเดือน จะมีผลเสียหรือไม่ จะเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ 
: ยาแก้แพ้ถ้าเกิดในกรณีที่เราใช้ติดต่อกันไปเป็นเวลานาน ๆ จะมีผลเสียต่อร่างกายไหมเนี่ย อะไรก็ตามที่ใช้เป็นระยะเวลานานมักจะไม่ได้เป็นผลดีนะคะ โดยเฉพาะยาต่าง ๆที่เราต้องกินเข้าไปในร่างกาย แต่โดยทั่วไปแล้ว ยาแก้แพ้ในเด็กและก็ยาแก้แพ้ในผู้ใหญ่ที่เป็นรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่จะมีความปลอดภัยต่อเรื่องตับและไตค่อนข้างสูง หมายความว่าถ้ากรณีที่เรามีความจำเป็นต้องทานจริง ๆ ก็สามารถจะทานติดต่อกันได้หลายเดือน แต่ในกรณีเดียวกันถ้าเกิดสมมุติว่าเราต้องกินยาแก้แพ้ทุกวันเป็นระยะเวลาหลายเดือน แสดงว่าเรายังแก้ไขสาเหตุได้ยังไม่เพียงพอ ยกตัวอย่างเช่นสาเหตุจากการแพ้อาหารถ้าเราไม่หลีกเลี่ยง อาหารในเด็กกลุ่มนั้นก็จะกินยาแก้แพ้ไปทุกวัน อย่างที่สองคือถ้าเกิดกรณีจมูกอักเสบภูมิแพ้ในบางเคสอาจจำเป็นจะต้องใช้ยาพ่นจมูก หรือการล้างจมูกร่วมด้วย เพื่อที่เราจะได้ลดความจำเป็นที่ต้องกินยาลง ในกรณีโรคภูมิแพ้บางอย่าง เราอาจจะต้องใช้ยาบางกลุ่มร่วมๆ กันเพื่อที่เราจะได้ใช้ยาหลายตัวไม่ต้องนานจนเกินไป และพยายามใช้เป็นวิธีอื่นเช่น การทายาช่วยร่วมด้วย หรือกับการพ่นจมูกร่วมด้วย จะสามารถทำให้เราลดการกินยาแก้แพ้ลงได้ค่ะ
 
8.ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคภูมิแพ้ มีอะไรบ้าง
: ภาวะแทรกซ้อนจากโรคภูมิแพ้ ยกตัวอย่างตั้งแต่เรื่องแพ้อาหาร การแพ้อาหารถ้ากรณีที่แพ้รุนแรง ที่มีภาวะรุนแรงที่เรียกว่า Anaphylaxis คือมีอาการหลอดลมตีบ ผื่นขึ้น อันนี้จะรุนแรงถึงชีวิต ถือว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุดนะคะ ส่วนโรคผื่นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ ถ้าเกิดกรณที่เป็นผื่นแล้วควบคุมอาการไม่ดีก็จะมีผลต่อเรื่องการนอนหลับของเด็ก เช่นการนอนหลับไม่ดีขึ้น มีผลต่อเรื่องความมั่นใจที่เราต้องไปเจอผู้คนเพราะมีผื่นตามตัวนะคะ ส่วนเรื่องจมูกอักเสบภูมิแพ้ ถ้าเกิดควบคุมอาการไม่ดีบางคนอาจจะมีภาวะเป็นไซนัสอักเสบน้ำมูกข้นเขียว มีกลิ่นในจมูก มีกลิ่นในช่องปาก ทำให้การหายใจผิดปกติ และก็นอนกรนได้ ส่วนเรื่องหอบหืด ถ้าเกิดสมมุติมีอาการบ่อย ก็อาจจะทำให้คนไข้มีอาการเหนื่อยแม้กระทั่งเวลาออกกำลังกายเบา ๆ ซึ่งอาจจะรบกวนชีวิตประจำวันพอสมควรค่ะ 
 
สรุปแล้วคือในกรณีที่เป็นภูมิแพ้ อันดับแรกควรต้องหาสาเหตุก่อนว่าเราแพ้อะไร เหมือนเรารู้จักศัตรู และเราจะรู้จักว่าเราจะสู้กับศัตรูตัวไหนมากขึ้น เพื่อที่เราจะได้ใช้ยาให้ถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องใช้ยาเยอะจนเกินความจำเป็น และก็ในกรณีที่ภูมิแพ้ควบคุมอาการได้ดี เราสามารถใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนคนทั่ว ๆ ไป แค่เรารู้ว่าศัตรูเราคืออะไรเราจะได้ระวังได้มากขึ้นค่ะ