ต้อกระจก

ท่านเคยสังเกตุตนเองหรือไม่ว่า ท่านมีอาการเหล่านี้หรือไม่?

  • สายตาค่อย ๆ มัวลง
  • เห็นภาพเป็นเงาซ้อน
  • เห็นแสงไฟแตกกระจายเป็นแฉก
  • มองเห็นสีต่าง ๆ เปลี่ยนไปจากเดิม
  • อ่านหนังสือตัวเล็กไม่เห็น
ถามมา - ตอบไป เราช่วยท่านได้

Q: ต้อกระจกคืออะไร (Cataract) คืออะไร?

A: การที่เลนส์แก้วตาขุ่นขาวเป็นฝ้า ไปบังการมองเห็น ตาจึงมัวลงเหมือนมองผ่านกระจกฝ้า ถ้าทิ้งไว้นาน ๆ จะมัวมาก จนเข้าขั้นตาบอดได้ แต่นับว่าเป็นโชคดีที่ต้อกระจกสามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการผ่าตัด ทำให้สายตากลับมาดีเหมือนเดิม

Q: ต้อกระจกเกิดจากสาเหตุใด?

A:
  1. สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด คือ พบในคนสูงอายุ เป็นการเสื่อมไปตามวัย พบว่าครึ่งหนึ่งของคนอายุ 60 ปี เป็นต้อกระจก
  2. เกิดจากอุบัติเหตุ ได้รับการกระทบกระเทือนบริเวณดวงตา
  3. พบในเด็ก โดยมาตั้งแต่กำเนิด สาเหตุอาจเกิดจากพันธุกรรมหรือบางรายเกิดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  4. เกิดเป็นผลแทรกซ้อนจากโรคอื่น ๆ ของตาหรือของร่างกาย เช่น ต้อหิน ม่านตาอักเสบ เบาหวาน
  5. เกิดจากการใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น ยาพวกสเตียรอยด์

Q : ถ้าเป็นต้อกระจกแล้วต้องรักษาอย่างไร?

A : การรักษาต้อกระจกทำได้โดยการผ่าตัดเอาเลนส์แก้วตาที่ขุ่นออก แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่เดิม ในปัจจุบันยังไม่มียารับประทานหรือยาหยอดตาที่ใช้ป้องกันและรักษาต้อกระจกให้หายได้

Q : การผ่าตัดต้อกระจกทำอย่างไร?

A :
  1. การผ่าแผลเล็กหรือการสลายต้อกระจก (Phacoemulsification) วิธีนี้ จักษุแพทย์จะใช้เครื่องอัลตร้าซาวน์ โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงมาทำให้เนื้อเลนส์แก้วตาสลายเป็นชิ้นเล็ก ๆ และดูดออกมาได้ เครื่องมือที่ใช้สอดผ่านแผลผ่าตัดเข้าไปในลูกตานั้นมีขนาดเล็ก จึงทำให้มีแผลผ่าตัดเพียง 3 มิลลิเมตร ผู้ป่วยจึงหายเร็วขึ้น ทำให้สายตาชัดเร็วขึ้น ระยะพักฟื้นสั้นลงและกลับไปทำงานได้เร็วขึ้น
  2. การผ่าแผลใหญ่หรือการผ่าต้อกระจก (Extracapsular Cataract Extraction หรือ ECCE ) การผ่าตัดวิธีนี้มีการเปิดแผลใหญ่กว่า 10 มิลลิเมตร เพื่อคีบเอาเลนส์ออกมาทั้งชิ้น ทำให้ดวงตามีการกระทบกระเทือนมากกว่า ต้องพักฟื้นนานกว่า ทั้งสองวิธีสามารถใช้เลนส์เทียมเข้าทดแทนเลนส์เดิมที่ผ่าออกมาได้

Q : ถ้าไม่ผ่าตัดต้อกระจกได้หรือไม่?

A :เมื่อปล่อยให้ต้อกระจกสุกเต็มที่ (Mature Cataract) จะทำให้เลนส์ตาแข็งตัวมากจนกระทั่งไม่สามารถใช้เทคนิคการผ่าแผลเล็ก หรือการสลายต้อกระจกได้ ถ้าจะผ่าต้องทำการผ่าแบบแผลใหญ่แทน

ถ้าต้อกระจกสุกเต็มที่จนกระทั่งถุงหุ้มเลนส์แตก อาจทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงของดวงตาได้ ถ้ารักษาไม่ทัน อาจทำให้ตาบอดได้เช่นกัน

Q : เลนส์แก้วตาเทียม จะมีอายุการใช้งานได้นานเท่าไหร่?

A : เลนส์แก้วตาเทียมเป็นวัสดุที่สามารถใช้งานได้เป็นการถาวร ไม่มีการหมดอายุหรือต้องคอยเปลี่ยนใหม่เมื่อเวลาผ่านไป

Q : การเลือกใช้เลนส์แก้วตาเทียม ควรเลือกอย่างไร?

A : เลนส์แก้วตาเทียมชนิดต่าง ๆ

  1. ระยะเดียว (Monofocal IOL) เป็นเลนส์มาตราฐานที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการมองไกล ทำให้ผู้ป่วยมองไกลได้ชัดขึ้น แต่ในเวลามองใกล้ เช่น อ่านหนังสือ อาจต้องใส่แว่นมองใกล้เพิ่ม
  2. เลนส์หลายระยะ (Multifocal IOL) ใช้ดูได้ทั้งระยะใกล้และไกล
  3. เลนส์แก้ไขสายตาเอียง (Toric IOL) ในผู้ป่วยที่มีสายตาเอียงอยู่แล้วก่อนผ่าตัด เพื่อทำให้สายตาเอียงลดน้อยลง

Q : การเกิดถุงหุ้มเลนส์ขุ่น ทำให้สายตาเกิดพร่ามัวอีกภายหลังการผ่าตัด เป็นอย่างไร?

A : หลังผ่าตัดต้อกระจก เมื่อเวลาผ่านไปหลาย ๆ เดือนหลายปี ถุงหุ้มเลนส์อาจมีการขุ่นมัวลง ดังนั้น ผู้ป่วนที่ได้รับการฝังเลนส์ตาเทียมบางรายอาจสังเกตพบว่า สายตาที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนภายหลังการผ่าตัดมีการพร่ามัวลงอย่างช้า ๆ ซึ่งภาวะถุงหุ้มเลนส์ขุ่นสามารถตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาได้โดยง่ายและขายได้ได้ ด้วยการใช้เลเซอร์ชนิดพิเศษในการเจาะถุงหุ้มเลนส์ให้ตรงกลางเป็นช่อง เพื่อให้แสงผ่านเข้าไปรวมเป็นภาพที่จอรับภาพได้อีกครั้ง (Yag Capsulotomy) เป็นการรักษาที่ไม่เกิดอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด และผู้ป่วยยังสามารถมองเห็นได้ดีขึ้นเกือบจะทันทีที่ทำการเจาะถุงหุ้มเสร็จ


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ :

ศูนย์ตา โรงพยาบาลสุขุมวิท
เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08:00 - 20:00 น.
โทร. 02-391-0011 ต่อ 601, 601
VAR_INCL_CK