เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ในผู้หญิง ส่วนในผู้ชายก็สามารถพบมะเร็งเต้านมได้เช่นกันแต่ไม่บ่อยนัก โดยประมาณ 90% ของมะเร็งเต้านมเกิดจากต่อมน้ำนมและท่อน้ำนม จึงมีโอกาสมากที่จะพบการเกิดมะเร็งในเต้านมทั้งสองข้าง ทั้งในระยะแรกและหลังจากการตรวจวินิจฉัยอย่างไรก็ดีการตรวจพบมะเร็งในระยะแรกจะช่วยให้การรักษามีโอกาสประสบความสำเร็จได้สูง
การตรวจประเมินเบื้องต้นเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้สามารถตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะต้นๆ ซึ่งจะส่งผลให้การรักษามีโอกาสประสบความสำเร็จสูง โดยการตรวจประเมินมะเร็งเต้านมเบื้องต้นสามารถทำได้ดังนี้
การรักษามะเร็งเต้านมอาศัยทีมแพทย์ในสาขาต่างๆ เช่น ศัลยแพทย์ รังสีแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง มาร่วมกันวางแผนการรักษาที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกวิธีการรักษาของแพทย์ เช่น
1.การผ่าตัด แบ่งออกเป็น
2.การฉายแสง
3.การรักษาด้วยยา ได้แก่
โดยแพทย์อาจใช้การรักษาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือใช้การรักษาหลายๆอย่างร่วมกัน ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค อายุและความแข็งแรงของผู้ป่วย เป็นต้น
คือ
เกิดขึ้นในเซลล์ปากมดลูกซึ่งอยู่บริเวณช่วงล่างของมดลูกและเชื่อมต่อกับช่องคลอด โรคมะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดฮิวแมนแปปิโลมาไวรัส (Human Papillomavirus) หรือ เอชพีวี (HPV) ซึ่งมักจะติดต่อทางเพศสัมพันธ์
เมื่อร่างกายได้รับเชื้อ HPV เป็นครั้งแรก ระบบภูมิคุ้มกันจะพยายามปกป้องร่างกายจากการติดเชื้อไวรัส อย่างไรก็ตามเชื้อ HPV อาจทำให้เซลล์ที่ปากมดลูกเกิดความผิดปกติและกายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด ดังนั้นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและการฉีดวัคซียมะเร็งปากมดลูกเพื่อป้องกันเชื้อ HPV จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ ในระยะแรกที่เป็นโรคมะเร็งปากมดลูกมักจะไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ แต่ในภายหลังเมื่อเริ่มเป็นหนักมากขึ้นร่างกายจะเริ่มแสดงอาการผิดปกติ เช่น มีภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด หรือ ตกขาวผิดปกติ และอาจมีอาการปวดร่วมด้วยได้
เชื้อ HPV มีบทบาทสำคัญในการเกิดมะเร็งปากมดลูก เมื่อเซลล์ปกติที่อยู่บริเวณปากมดลูกเกิดการกลายพันธุ์จะส่งผลให้เกิดเป็นมะเร็งปากมดลูกหรือ รอยโรคก่อนเป็นมะเร็งได้ อย่างไรก็ตามคนส่วนมากที่ได้รับเชื้อไวรัส HPV เซลล์อาจจะยังไม่พัฒนาเป็นมะเร็งตั้งแต่แรกที่ได้รับเชื้อ ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมหรือรูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคลอาจส่งผลต่อการเกิดโรคด้วยเช่นกัน
ผู้ป่วยควรทำการนัดพบแพทย์เมื่อพบลักษณะอาการที่ผิดปกติหรือไม่พึงประสงค์ ดังนี้
ปัจจัยเหล่านี้อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูกสูงขึ้นได้แก่
มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่ป้องกันได้ เริ่มจากแนะนำให้ลดปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลลูก ได้แก่ หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคนและงดสูบบุหรี่ เป้นต้น นอกจากนี้ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV (HPV Vaccine) ซึ่งสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกและรอยโรคก่อนเป็นมะเร็งได้ นอกจากนี้การป้องกันการติดเชื้อ HPV ที่มีความเสี่ยงสูงยังสามารถป้องกันมะเร็งปากช่องคลอด ช่องคลอด ทวารหนัก และมะเร็งช่องปากได้อีกด้วย โดยทั่วไปแนะนำให้ฉีด HPV วัคซีน ที่ช่วงอายุ 11 หรือ 12 ปี ถึงอายุ 26 ปี และได้ผลดีที่สุดในคนที่ไม่เคยได้รับเชื้อหรือไม่เคยมีเพศสัมสันธ์ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะฉีดวัคซีนแล้วแพทย์ก็ยังแนะนำให้ไปตรวจภายในและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกตามปกติ
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมีทั้งวิธีการตรวจ แปปสเมียร์ (Pap smear) และวิธีตรวจ เอชพีวี ดีเอ็นเอ (HPV DNA) สำหรับการตรวจแปปสเมียร์ แพทย์จะทำการป้ายเซลล์จากปากมดลูกเพื่อเก็บไปตรวจความผิดปกติ หรือ ปัจจุบันใช้วิธี Liquid-base cytology (LBC) เป็นการเก็บเซลล์จากปากมดลูกใส่ในของเหลวเพื่อตรวจหาเซลล์ผิดปกติ ซึ่งให้ผลตรวจที่ชัดเจนมากขึ้น การตรวจแปปสเมียร์หรือ LBC จะสามารถตรวจหาได้ทั้งเซลล์มะเร็งและเซลล์ที่มีโอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูกอย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการตรวจเชื้อ HPV DNA สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกร่วมด้วย เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจคัดกรองมากขึ้น
ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์สำหรับแนวทางการตรวจคัดกรองมดลูก โดยทั่วไปจะแนะนำให้เริ่มตรวจคัดกรองมดลูกในหญิงที่อายุ 21 ปี ขึ้นไป
เป็นมะเร็งที่เกิดที่ลำไส้ส่วนปลายของระบบทางเดินอาหาร พบมากเป็นอันดับสามของมะเร็งทุกชนิดและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับที่สองในประเทศไทย
คือ มะเร็งปอดหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของคนไทย ซึ่งมะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในโลก และ เป็นโรคที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในกลุ่มโรคมะเร็ง โดยส่วนมากผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดจะไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่จะมีสัญญาณที่บ่งบอกถึงการเกิดโรคเมื่อมีการเจริญเติบโตของมะเร็งมากขึ้น อย่างไรก็ตามมะเร็งปอดสามารถรักษาให้หายได้หากตรวจพบตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น
ในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดที่ทำให้เกิดมะเร็งปอดได้ แต่มีปัจจัยบางประการที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปอดได้
มะเร็งปอด หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นสามารถรักษาได้ หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่จัด มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ทำงานใกล้ชิดกับสารเคมี หรือ สารก่อมะเร็ง เป็นต้น ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปอด และหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ทั้งนี้เพื่อให้การรักษามะเร็งมีประสิทธิผลมากที่สุดนั้น การได้รับการตรวจหาการกลายพันธุ์ในเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยด้วยการตรวจยีนมะเร็งร่วมด้วย จะช่วยให้แพทย์และผู้ป่วยสามารถร่วมกันวางแผนการรักษา และ เลือกยารักษาได้อย่างเหมาะสม
มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เป็นเนื้องอกร้ายซึ่งเกิดขึ้นในเยื่อบุโพรงมดลูก เป็นหนึ่งในเนื้องอกร้ายที่พบในอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเกิดขึ้นได้กับสตรีวัยเจริญพันธุ์และวัยหมดประจำเดือน ร้อยละ 90 พบในสตรีวัยหมดประจำเดือนแล้ว และ มีเพียงร้อยละ 3 ที่พบในสตรีอายุน้อยกว่า 40 ปี มดลูกเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิงเป็นกล้ามเนื้อรูปร่างคล้ายลูกแพร์ ภายในเป็นโพรงนี้จะมีเยื่อบุโพรงนิ่มๆ มีเส้นเลือดเล็กๆ มากมาย เพื่อไว้สำหรับให้ตัวอ่อนฝังตัวเมื่อเกิดการตั้งครรภ์ เยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrium) นี้เองที่หากมีการแบ่งตัวของเซลล์เยื่อบุที่ผิดปกติไปก็จะเกิดเป้นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นมา
เยื่อบุโพรงมดลูกสาเหตุของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกนั้นในผู้ป่วยส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 80-90 เกิดจากการที่ร่างกายได้รับฮอร์โมนเอสโตเจนมากเกินไป ทั้งที่เป็นฮอร์โมนจากภายในคือร่างกายมีฮอร์โมนเอสโตเจนมากเองซึ่งจะพบในคนอ้วนหรือภาวะไข่ไม่ตก (Anovulation) หรือได้รับฮอร์โมนจากภายยอก เช่น ยาฮอร์โมน หรือ อาหารเสริม
การที่ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนมากๆ นี้ถึงจะมีการกระตุ้นเยื่อบุโพรงมดลูกให้แบ่งตัวมาก อาจเกิดเป็นเซลล์ผดิปกติและเป็นมะเร็งได้
ระยะที่ 1 โรคยังลุกลามอยู่เฉพาะในผนังมดลูก
ระยะที่ 2 โรคลุกลมเข้าปากมดลูก
ระยะที่ 3 โรคลุกลามถึงเยื่อหุ้มมดลูก รังไข่ช่องคลอด หรือ เนื้อเยื่อในอุ้งเชิงกราน ต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกราน ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง
ระยะที่ 4 โรคมะเร็งลุกลามเข้ากระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ และแพร่กระจายเข้าต่อมน้ำเหลืองขาหนีบ หรือแพร่กระจายสู่ต่อมน้ำเหลืองเหนือไหปลาร้าหรือแพร่กระจายเข้าเส้นเลือดไปยังอวัยวะต่างๆแพร่กระจายเข้าสู่ ปอด ตับ เยื่อบุช่องท้องและกระดูก
วิธีรักษามะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมีหลาบวิธี โดยแพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมให้แก่ผู้ป่วยอาจจะพิจารณาองค์ประกอบต่างๆ ร่วมด้วยได้แก่ ชนิดของเนื้องอก ระดับอาการ อายุ สุขภาพ ซึ่งวิธีการรักษาประกอบไปด้วย
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันการเกิดมะเร็งชนิดนี้ได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสามารถดูแลรักษาตนเองเพื่อลดโอกาสเกิดมะเร็งชนิดนี้ได้โดยการควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ออกกำลังกายสม่ำเสมอปรึกษาแพทย์เมื่อเกิดความผิดปกติเช่น ขาดประจำเดือนต่อเนื่อง มีประจำเดือนมาไม่ตรงรอบ หรือมีเลือดออกผิดปกติหลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้ว รวมไปถึงมีความเสี่ยงโรคมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องเช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่
โดยสรุป ผู้ป่วยมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกส่วนมากได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเนื่องจากมีอาการที่เด่นชัดจึงนำไปสู่การรักษาอย่างรวดเร็วเบื้องต้นผู้ป่วยควรหาข้อมูลที่เหมาะสมและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อจะได้วางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม หลังเข้ารับการรักษาแล้วผู้ป่วยต้องดูแลตัเองตามคำแนะนำของแพทย์และเข้ารับการตรวจติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
นพ. มาโนช เครือวัลย์
แพทย์ผู้ชำนาญการด้านมะเร็งนรีเวช