ปัจจุบันพบว่าเด็กไทยมีอัตราการติดมือถือที่จัดว่าเป็นโรคถึงขนาดที่ต้องบำบัดรักษาราว10-15% ด้วยเพราะเนื้อหาและรูปแบบของเกมที่สนุก ช่วยสร้างความสุขได้ดี บวกกับเทคโนโลยีที่ทำให้สื่อต่างๆ กลายเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวและเข้าถึงง่าย ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองควบคุมดูแลได้ยาก หรือมักปล่อยให้เป็นความสุขของลูกเพราะตัดรำคาญที่จะเกิดปัญหาความขัดแย้งกับลูก ท้ายที่สุดอาจส่งผลกระทบถึงสุขภาพ เพราะเมื่อลูกติดมือถือมากเกินไป โดยเฉพาะหากมัวแต่เล่นแต่เกมมือถือก็อาจทำให้สมองฝ่อ และมีผลกระทบต่างๆ ตามมา ดังนี้
สุขภาพร่างกายผิดปกติ เด็กจะเริ่มมีอาการปวดศีรษะ ปวดตา ปวดต้นคอ และปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ บางรายถึงขั้นกล้ามเนื้อตาโดนทำลายจนต้องผ่าตัดรักษาก็มี ในเด็กบางคนก็อาจเป็นโรคขาดสารอาหาร หรือโรคอ้วนที่เกิดจากการนั่งนิ่งๆ ใช้แต่มือกดจอโทรศัพท์มือถือเป็นระยะเวลานานๆ รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดต่างๆ ร่วมด้วย
สมองเล็กลง ขาดการพัฒนา ในทางการแพทย์พบว่าเด็กที่เล่นมือถือนานๆ ติดต่อกัน 2 ชั่วโมง ต่อเนื่องกัน 2 ปี มีผลให้ขนาดของสมองบางส่วนเล็กลง ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากการสแกน MRI อย่างชัดเจน ทำให้พัฒนาการของเชาว์ปัญญาไม่ดี เช่น มีกระบวนการฝึกคิด การเรียนรู้และการแก้ปัญหาที่เชื่องช้า ไม่พัฒนาเท่าที่ควร แถมเสี่ยงเป็นโรคสมาธิสั้นในเด็กได้อีกด้วย
เข้าสังคมยาก ความสัมพันธ์ครอบครัวแย่ ทักษะการเข้าสังคมเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบได้มากของเด็กกลุ่มนี้ เพราะได้สูญเสียเวลาไปกับการเล่นมือถือซะส่วนใหญ่ จนทำให้ขาดการพัฒนาทักษะในด้านนี้ และส่งผลกระทบอย่างมากในความสัมพันธ์ระดับครอบครัว
อารมณ์รุนแรง พฤติกรรมก้าวร้าว กรณีของเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี มักพบปัญหาในลักษณะของการโวยวายที่รุนแรงกว่าเด็กทั่วไปที่ไม่ติดการเล่นมือถือ และจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโตขึ้น โดยเริ่มจากลักษณะการพูดที่ก้าวร้าว การแสดงออกที่รุนแรงและมีสภาวะอารมณ์ที่ผิดปกติไป ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าและวิตกกังวลได้ง่ายกว่าเด็กกลุ่มอื่น
การที่ผู้ปกครองจะทราบได้ว่าลูกแค่เล่นมือถือในระดับทั่วไป หรือเข้าขั้นติดหนักและควรเข้ารับการบำบัดจากคุณหมอนั้น มีวิธีสังเกตพฤติกรรมอยู่ด้วยกัน 4 ข้อหลัก ได้แก่
หลายคนอาจเข้าใจว่าลูกที่ติดมือถือหรือติดเกมจะมีอารมณ์โมโหและหงุดหงิดง่ายเฉพาะเวลาไม่ได้เล่นมือถือเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้ว อารมณ์โมโหรุนแรงจะกระจายไปยังเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันอย่างเห็นได้ชัด รุนแรงที่สุดคือ เด็กอาจทำลายข้าวของและขว้างปาสิ่งของ สามารถทำร้ายหรือชกต่อยพ่อแม่โดยไม่รู้สึกผิด เพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ แม้จะเกิดปัญหาเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ผู้ปกครอง หรือพ่อแม่มักเข้าใจว่าการเล่นเกมถือเป็นเรื่องปกติตามวัยของเด็ก แต่หากการเล่นเหล่านั้นขาดวิธีควบคุมที่ดีและเหมาะสม อาจส่งผลให้เกิดปัญหากับเด็กโดยตรงในระยะยาวได้ โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นที่จะเริ่มมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามา เช่น ความเครียดจากการเรียนและภาวะฮอร์โมน ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แพทย์จะทำการประเมินพฤติกรรมเด็กจากการพูดคุยกับผู้ปกครองหรือตัวเด็กเอง ร่วมกับการประเมินความพร้อม และความอดทนของพ่อแม่ประกอบเข้าด้วยกัน ก่อนจะให้คำแนะนำหลักการเปลี่ยนพฤติกรรมให้เด็กอย่างเข้าใจ ดังนี้
พญ. รวยวรรณ สันติเวส
แพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคภูมิแพ้ในเด็ก